วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

2/2 อุทยานแห่งชาติพุเตย ยอดเขาเทวดา น้ำตกตะเพินคี่ใหญ่

ตี่สี่ครึ่งผมตื่นขึ้นมาเพราะได้เวลานัดหมายแล้ว อากาศหนาวกำลังดีเปิดเต๊นท์ออกมาเห็นดาวพอประมาณไม่มากมายเท่าตอนที่ไปดอยวาว ดาวศุกร์ตอนนี้ย้ายไปอยู่ฝั่งทิศตะวันตกเป็นที่เรียบร้อย เตรียมตัวเดินทางขึ้นยอดเขาเทวดากันครับ

เปลี่ยนชุดตระเตรียมของพร้อมกันที่รถ พี่ต๊ะพานั่งรถฝ่าอากาศหนาวๆ หมอกจางๆ ฝุ่นอย่างเยอะ! ไปที่ทางขึ้นเขา แสงอาทิตย์ยังไม่ทันจะโผล่พ้นขอบฟ้าพี่ก็พาพวกเราเดินมุ่งหน้าสู่ยอดเขา


ทางขึ้นช่วงประมาณ 600 เมตร

จะบอกว่าทางเริ่มลาดตั้งแต่ขึ้นเลยครับ ผ่านมาได้ซัก 200 เมตรก็เริ่มชันหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่นี่มีเชือกให้พอช่วยพยุงตัวได้บ้าง แต่ก็อย่าใช้เชือกเยอะไปนะครับมือเย็นๆเอาไปรูดกับเชือกมันเจ็บมาก ระยะทางขึ้นยอดเขาเทวดาประมาณ 800 เมตรพวกเราใช้เวลาเดินกันชั่วโมงกว่าๆ เอาเป็นว่าทันพระอาทิตย์ขึ้นเป็นพอ

บนยอดดอยมีพื้นที่ไม่มากครับ คนประมาณ 30 คนทำให้ยอดดอยเต็มได้ ผมก็ไม่รีบนั่งละเลียดโอวัลตินคลายหนาวรอให้คนได้ถ่ายรูปกับพระอาทิตย์เสร็จเสียก่อน ค่อยไปถ่ายรูปของเรา
สูงที่สุดในแผ่นดินสุพรรณฯ



จากจุดที่สูงที่สุดในสุพรรณฯนี้เราจะมองเห็น 3 จังหวัดคือทางซ้ายเป็นกาญจนบุรี ทางขวาเป็นอุทัยธานี และจุดที่ยืนคือสุพรรณบุรี

เทือกเขาที่เด่นชัดและสวยซะมากๆ คือเทือกเขาตะนาวศรี จังหวัดกาญจนบุรีนั่นเอง
pano เทือกเขาตะนาวศรี

เทือกเขาตะนาวศรี จ.กาญจนบุรี


9 โมงเช้า เหลือกลุ่มเราที่ยังเสพธรรมชาติกันเป็นกลุ่มสุดท้าย เก็บข้าวของย้ายสัมมะโนครัวลงด้านล่างกัน ตอนลงนี่ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตอนขึ้นรองเท้าที่ใส่มีส่วนมาก ปลายนิ้วโป้งกับนิ้วก้อยผมเจ็บปวดอย่าบอกใคร ลงมาที่รถก็พบกับวิวข้าวไร่อันน่าหลงไหล

ทุ่งข้าวไร่
 ข้าวไร่เป็นข้าวที่ชาวกระเหรี่ยงที่นี่นิยมปลูก ปลูกได้ปีละครั้ง เพราะที่นี่ไม่มีน้ำให้ทำนาได้ตลอดทั้งปี

คนที่นี่ไม่มีเนื้อไก่ หมู วัว กินถ้าจะกินต้องลงไปซื้อที่ตลาด พี่ต๊ะเล่าว่าเมื่อก่อนชาวบ้านเลี้ยงวัว แต่ก็ถูกเสือลากไปกิน ก็เลยเลิกเลี้ยง

10โมงเช้า เราถึงที่พักแล้ว รีบควานหาอาหารเช้ามาประทัง (คือหิวมาก) หลังจากที่ซัดโฮกกับอาหารทั้งหมด เรียกว่าทุบหม้อข้าวหม้อแกงกันเลยทีเดียว 555 ก็จัดแจงเก็บเต๊นท์ เตรียมตัวเดินทางลงดอยกัน

บรรยากาศที่กางเต๊นท์
เที่ยงนิดๆ เราพร้อมกันที่รถกระบะ พี่ต๊ะพาเราแวะน้ำตกระหว่างทางก่อนถึงที่ทำการอุทยานอีกที่คือ น้ำตกตะเพินคี่ใหญ่ และก็เหมือนเคยคือไม่มีคนเลยนอกจากกรุ๊ปเรา และก็แวะกันนานอีกตามเคย








บ่ายเท่าไหร่ไม่รู้ พวกเราก็เดินทางกลับมาที่รถกระบะ ให้พี่ต๊ะพาเรามาส่งอุทยานฯ ระหว่างรู้สึกว่าแปบเดียวและมีเสียงเคาะกระจกตลอดเวลา ไม่ใช่อะไรหรอกครับ หลับหัวโขกกระจกนั่นเอง ทุกคนดูเหมือนจะหมดแรงไปกับทริปนี้

หลังจากถึงอุทยานเราก็จัดแจงย้ายของกลับเข้ารถเรา อาบน้ำอีกซักครั้ง และเดินทางกลับกรุงเทพฯ

จบ...




วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

1/2 อุทยานแห่งชาติพุเตย น้ำตกตะเพินคี่น้อย

หกโมงเช้า พวกเราแวะเติมพลังกันปั๊มสุดท้ายก่อนจะยิงยาวเข้าสุพรรณบุรี



สิบโมงครึ่ง พวกเรากะเวลาผิดไปมาก ในตอนแรกกะไว้ว่าถึงที่ทำการอุทยานฯประมาณ 9โมง หลังจากถึงอุทยานก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ แล้วย้ายสัมภาระขึ้นรถกะบะที่จนท.เตรียมไว้ให้ เราต้องนั่งรถของจนท.ประมาณ 21 กม. ทางเป็นดินแดง ดีแล้วที่เราจอดรถไว้ที่ทำการฯ ต้องเป็นคนชำนาญทางและรถสมรรถนะดีๆเท่านั้น

เที่ยง เราถึงลานกางเต๊นท์จัดการกางเต๊นท์และเติมพลังมื้อเที่ยงกันก่อน เก็บแรงไว้เที่ยวละแวกอุทยานฯรอบบ่าย


บ่ายหนึ่ง จนท.พาเราชมหินงอกหินย้อยในถ้ำตะเพินเงิน ถ้ำนี้ยังมีหินงอกหินย้อยที่ยังมีชีวิตอยู่ บางจุดยังมีน้ำหยด จากนั้นพาไปสักการะพระพุทธรูปในถ้ำตะเพินทอง สองถ้ำนี้รูปค่อนข้างน้อย ภายในถ้ำแสงน้อยมากจึงไม่ได้หยิบกล้องขึ้นมาถ่าย

ถ้ำตะเพินทอง

ถ้ำตะเพินทอง

ถ้ำตะเพินทอง

ถ้ำตะเพินทอง




บ่ายสาม หลังจากจอดรถพี่ต๊ะ(เจ้าหน้าที่นำทาง)พาเราเดินผ่านไร่ข้าวโพด ไปชมน้ำตกตะเพินคี่น้อย

ระหว่างทางพี่ต๊ะเล่าให้ฟังถึงที่มาของอุทยานฯพุเตย
พุ คือ แหล่งน้ำจากใต้ดินที่ดันขึ้นมาบนผิวดิน
เตย คือ บริเวณนั้นมีต้นเตยขึ้นเยอะ
รวมกันเป็นอุทยานแห่งชาติพุเตย

น้ำตกตะเพินคี่น้อย

น้ำตกตะเพินคี่น้อย

น้ำตกตะเพินคี่น้อย

น้ำตกตะเพินคี่น้อย

เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ชม. นั่งได้นานเนื่องจากไม่มีนักท่องเที่ยงกลุ่มอื่นเลยนอกจากพวกเรา น้ำจากน้ำตกไม่พอเล่นแต่ก็พอเพียงให้นั่งฟังเสียง และสัมผัสไอน้ำจางๆ

บ่ายสี่ พี่ต๊ะพาเราไปดูตาน้ำของที่นี่ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านกะเหรี่ยง ตาน้ำที่นี่เป็นลักษณะแอ่งน้ำกว้างประมาณ 2x3 เมตร ลึกประมาณ 20-40 ซม. มีฟองอากาศผุดขึ้นมาจากดิน ตรงนั้นจะเป็นตาน้ำ น้ำตรงนี้จะไม่เคยแห้งมีให้หมู่บ้านได้ใช้ตลอดทั้งปี จะมีแห้งอยู่ครั้งเดียวคือคราวที่เกิดซึนามิ!!

หลังจากนั้นพวกเรากลับเข้าที่พัก ไม่นานนักก็เริ่มมีนักท่องเที่ยงเข้ามาสมทบ บางกลุ่มก็เอาเต๊นท์มาเอง บางกลุ่มก็ยืมเต๊นท์ของอุทยาน พวกเราอาบน้ำ พักผ่อน เตรียมอาหารเย็น

หลังมื้อเย็นแล้วรอเวลาฟ้ามืดขึ้นมาหน่อย ผมก็เริ่มชวนกันดูดาวคราวที่แล้วที่ไปดอยเสมอดาวผมยังหาดาวเหนือไม่เจอเลย คราวนี้ผมจะมาแก้ตัว
ผมเปิดแอป google sky map ผมมองหาดาวหมีใหญ่ (กลุ่มดาวที่ชี้ไปยังดาวเหนือ) แต่เวลานี้ดูช่างไม่เหมาะเสียเลยผมเลยหาดาวหมีใหญ่ไม่พบซะแล้ว เปลี่ยนเป็นดาวค้างคาวแทน ครับผมหาดาวค้างคาวเจอแล้ว ตามสูตรตรงรอยหยักของตัว M จะชี้ไปยังดาวเหนือ สุดท้ายคืนนี้ผมหาดาวเหนือเจอ ^ ^ แต่ดาวเหนือคืนนี้ช่างจางเสียเหลือเกิน อยากเห็นดาวเหนือชัดกว่านี้อีกคงต้องทริปหน้าละครับ

ในคืนนี้เราใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการดูดาว ดาวที่ผมพบคืนนี้มี
  • ดาวศุกร์ (ดูเป็นอยู่แล้ว)
  • ดาวเหนือ
  • กลุ่มดาวค้างคาว
  • กลุ่มดาวคนคู่
  • กลุ่มดาวหมาใหญ่
  • กลุ่มดาวนายพราน
ไว้คราวหน้าเราจะดูดาวกันเพิ่มนะครับ

คืนนั้นนั่นเองมีเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับการเที่ยวธรรมชาติ เนื่องจากผมลุกไปเข้าห้องน้ำตอนเที่ยงคืนพอดีก็พบว่ายังมีนักท่องเที่ยงถึง 3 กลุ่มส่งเสียงดังสนั่นดอย 2 กลุ่มมีกีต้าร์ อีก 1 กลุ่มคุยกันเสียงดัง ผ่านไป 1 ชม. กลุ่มที่เล่นกีต้าร์ใกล้เต๊นท์ที่ผมนอนเงียบตัวลง ครึ่งชม.ต่อมากลุ่มที่คุยกันเรื่องบอลเรื่องพี่น้องผองเพื่อนพ่อตาตายแม่ยายป่วยเงียบตัวลง ตี2กลุ่มสุดท้ายเล่นเพลงสิบแปดฝนเป็นเพลงสุดท้ายก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงร่ำลาพร้อมประกาศชื่อเสียงเรียงนามไว้อย่างชัดเจน ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะขับรถออกจากลานก็ได้เบิ้ลรถเสียงดังปลุกนักท่องเที่ยว
เช้ามาผมได้คุยกับเจ้าหน้าที่ก็ได้รับคำตอบว่าคนที่ประกาศชื่อตนก่อนลงดอยเป็นลูกของผู้ใหญ่บ้านละแวกนั้น ขึ้นมาบนอช.นี้บ่อยแล้ว จนท.ก็ทำอะไรไม่ได้

ทริปนี้ดีมาหมดแล้วครับมาเสียจุดนี้จุดเดียว ตรงที่หลัง 4 ทุ่มแล้วยังปล่อยให้มีเสียงดังได้อีก ตรงนี้นักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่ควรจะร่วมมือกันนะครับ นักท่องเที่ยวก็ควรจะรู้มารยาทการเที่ยวเชิงอนุรักษ์ไม่ต้องปล่อยให้ใครมาว่ากล่าวตักเตือนมันควรจะเป็นจิตสำนึกอยู่ในตัวเราเอง ผมเห็นเต๊นท์ที่เสียงดังยังมีเด็กอีก2คน เด็กมันจะเลียนแบบเอาได้พอโตไปก็จะไปทำพฤติกรรมไม่ดีอีก ส่วนของเจ้าหน้าที่ก็ควรเข้าไปตักเตือนเมื่อถึงเวลา ทำป้ายมาติดหรือทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวรู้ว่าควรงดใช้เสียงเมื่อใด

นอกเรื่องไปยาวเหมือนกัน
สุดท้ายคืนนั้นผมก็หลับไปหลังจากที่ไม่มีเสียงรบกวนใดๆ
พรุ่งนี้เช้าตื่นตีสี่ครึ่งครับ รีบนอนๆ

วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

[4/4] ปี๊ใหม่เมืองน่าน ศิลปะเมืองน่าน

อยากรู้ว่าเดินทางเวลาไหนบ้างคลิ๊กที่นี่ครับ




บ่ายสอง เราแวะตลาดท่าวังผาเติมพลังมื้อเที่ยงกันหน่อย โชคดีได้นั่งร้านอร่อย แถมแม่ค้าน่ารักอีกนี่... ^ ^ จากนั้นเดินทางต่อเข้าสู่ตัวเมือง

ระหว่างทางแวะหอศิลป์ริมน่านซักหน่อยครับ
ที่นี่เป็น art gallery ของศิลปินน่านเข้าใจยากนิดหน่อย ผมเลือกไปเดินดูศิลปะฝีมือหนานบัวผันเจ้าของจิตรกรรมฝาผนังวัดภูมินทร์แทน เข้าไปชมแล้วก็ทึ่งฝีมือมากเลยครับ

หอศิลป์ริมน่าน

เย็นแล้ว เราเพิ่งถึงที่พัก ที่พักคืนนี้ของเราอยู่หน้าเทศบาลเมืองน่าน ระหว่างเดินทางเราก็โทรติดต่อหาที่พักกันตลอด จนโทรไปถามศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จนท.แนะนำให้มาพักกางเต๊นท์ที่นี่ได้เราจึงได้มาปักหลักที่นี่

ที่พัก ณ เทศบาลเมืองน่าน
หลังจากกางเต๊นท์เสร็จก็พูดคุยกับจนท.ป้องกันสาธารณภัยแถวนั้น คุยกันพักนึงก็ออกมาหาพาหนะให้คล่องตัวกันหน่อย นั่นคือ จักรยาน เราได้กันมาคนละคันประเดิมขี่ไปหามื้อเย็นแถวๆข่วงเมืองกันก่อนเลยครับ

จักรยานที่ยืมมา


วันนี้ผมแทบไม่ได้หยิบกล้องมาถ่ายเลยปกติก็ภาพน้อยอยู่แล้ว วันนี้ไม่มีภาพเลยครับ T T

บริเวณข่วงเมือง

มื้อเย็นหน้าเวที ขันโตกข่วงเมือง


ดึกเรากลับเข้าที่พัก เปลี่ยนชุดออกไปนั่งชิลฝั่งตรงข้ามครับ หาร้านเบียร์นั่งดื่ม ผมไม่ไหวอีกแล้ว 4ทุ่มกว่าๆผมขอตัวไปนอนก่อน

เช้ามา เราแวะกาดเช้าเติมพลังกันก่อนเลย ทำให้รู้ว่าคนที่นี่ใช้รถเครื่องกันเป็นส่วนมาก

รถเครื่องแถวกาดเช้า


รถเครื่องแถวกาดเช้า
บรรยากาศกาดเช้า


สายๆ เราเข้าไปรับพาสปอร์ตที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวจากนั้นเริ่มภารกิจตามล่าตราประทับ(คนที่นี่เรียก ปั๊ม) การเดินทางของเราเริ่มจาก

1.ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
2.วัดภูมินทร์
3.พิพิทธภัณฑ์จังหวัดน่าน
4.วัดช้างค้ำ
5.วัดมิ่งเมือง
6.วัดหัวข่วง
7.วัดสวนตาล
=กลับที่พัก=
8.วัดมหาโพธิ์
9.วัดน้ำล้อม
10.วัดพระเกิด
11.โฮงเจ้าฟองคำ
12.วัดกู่คำ
13.วัดพระธาตุเขาน้อย
14.วัดพญาวัด
15.วัดศรีพันต้น
=แวะทานมื้อเย็น,กลับที่พัก=
16.วัดพระธาตุแช่แห้ง
=สวดมนต์ข้ามปี=

เริ่มตั้งแต่ 10 โมงไปจนถึงเที่ยงคืน พวกเราออกตามล่าหาปั๊มกันทั้งวันแต่ละที่ใช้เวลาเป็นครึ่งชั่วโมง ไม่ใช่เข้าไปปั๊มแล้วออก ไหว้พระกันทุกวันจริงๆ บางวัดเราได้ทำพิธีต่อดวงชะตาด้วย รู้สึกได้บุญท่วมๆกันเลยภายในวันเดียว ท้ายสุดวัดสุดท้ายเราได้ไปสวดมนต์ข้ามปีกันอีกยิ่งทำให้เราอิ่มบุญมากขึ้น
 
วัดภูมินทร์
ปู่ม่านย่าม่าน

โมนาลิซาเมืองไทย

ภายในวัดภูมินทร์
จิตรกรรมฝาผนังวัดภูมินทร์


วัดมิ่งเมือง

วัดหัวข่วง

วัดสวนตาล
โฮงเจ้าฟองคำ
วัดพระธาตุเขาน้อย
สวดมนต์ข้ามปี วัดพระธาตุเขาน้อย

โคมลอยที่วัดพระธาตุเขาน้อย

พาสปอร์ตที่ปั๊มครบแล้ว

[3/4] ปี๊ใหม่เมืองน่าน อุทยานแห่งชาตินันทบุรีสัมผัสความหนาวบนดอยวาว

อยากรู้ว่าเดินทางเวลาไหนบ้างคลิ๊กที่นี่ครับ




ก่อนเที่ยง เราแวะซื้อของจำเป็นบางส่วนแถวตัวเมืองน่าน ขับรถรถประมาณชั่วโมงนึงก็ถึงอุทยานแห่งชาตินันทบุรี เราขับเลยไปหน่อยเพื่อไปให้ถึงดอยวาว

ทางขึ้นอช.นันทบุรีเป็นทางคอนกรีต2เลนสวนกันไม่มีไหล่ คล้ายกับทางไปอช.ทองผาภูมิหรือภูทับเบิก ต้องใช้คนที่มีประสบการณ์ขับรถนิดนึง พอหลังจากผ่านหน่วยอุทยานฯไปแล้ว เป็นทางขึ้นดอยวาวจะเป็นทางลูกรัง ต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าเดิม ผมไปรถเก๋งก็ค่อยๆไปไม่เร่งหวือหวามากก็ขึ้นถึงครับ

บ่าย เราถึงดอยวาว จัดแจงกางเต๊นท์ จากนั้นก็พักผ่อนตามอัธยาศัย ช่วงเวลานี้ผมไม่ได้หยิบกล้องเลยครับ วิ่งเล่น อ่านหนังสือ เดินไปเดินมาและอาบน้ำ ซึ่งน้ำเย็นไม่ด้อยไปกว่าดอยเสมอดาวเลย ผมแอบคิดว่าที่นี่น่าจะเย็นกว่าด้วย

เย็นอย่างไรหรอครับ น้ำแรกคือเย็น น้ำต่อมาคือปวดไปถึงกระดูกเลยครับ แต่ก็ทนอาบจนเสร็จเพราะทนความเหม็นตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

หัวค่ำ เราเริ่มปรุงอาหารอีกละ เตาหยิบยืมได้จากเจ้าหน้าที่ ของสดบางอย่างไปซื้อต่อจากร้านค้าได้ แต่ถ้าใครไม่อยากทำก็แวะร้านค้าทีเดียวเลยจบ

สุดท้ายแล้วผมเริ่มทนอากาศหนาวไม่ไหวเลยขอตัวไปนอนตอน 3 ทุ่ม ไม่ไหวแล้วจริงๆผิงไฟใส่เสื้อก็เอาไม่อยู่ หลบเข้าเต๊นท์ดีกว่า คร๊อกกก...

เช้าแล้วครับ ตื่นสายหน่อยไม่รีบไปถ่ายรูปพระอาทิตย์แล้ว ล้างหน้าแปรงฟันแล้วเดินไปถ่ายรูปกัน
น้ำค้างบนเต๊นท์

กางเต๊นท์ริมผาเลย

บรรยากาศตรงทางเดิน

จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น คนแค่นี้เองครับถือว่าไม่มากเลย

ดอกอะไรไม่รู้ นึกชื่อไม่ออก

อยู่ที่นี่อารมณ์ดีมาก ถ่ายรูปเก็บไว้หน่อย

หาอะไรอุ่นๆคลายหนาว

ร้านค้าง่ายๆคลายหนาว

บนนี้มีต้นเมเบิ้ลด้วยนะครับ

นี่ไงต้นนี้

ลานจอดรถ จนท.ให้กางเต๊นท์ด้วยเลยที่กางไม่พอ

เมเบิ้ลอีกมุมนึง

ร่วงหล่น

มาเป็นหมู่บ้านเลยแก๊งค์นี้

สายแก่ๆ พวกเราเก็บเต๊นท์แบบชิลๆ ไม่อยากจากไปเลยจริงๆ แต่แพลนวันนี้เราต้องไปถึงตัวเมืองแล้วไม่อยากให้ผิดแผนครับ ตัวเมืองเราก็อยากเที่ยว ก็เก็บเต๊นท์กับแบบไม่รีบไม่ร้อน

เที่ยง เราคุยกันไว้ว่าอยากแวะน้ำตกซักที่นึงเลยเข้าไปคุยกับจนท. ได้คำแนะนำมาว่าให้ไปน้ำตกสันติสุขดีกว่ารถถึง ถ้าไปน้ำตกนันทบุรีต้องเดินอีกแล้วความสวยก็พอๆกัน เราจึงตัดสินใจไปตามคำแนะนำของจนท.

ทางเข้าหลังจากถนนใหญ่ไปแล้วเป็นถนนคอนกรีตเลนเดียวหรือจะเรียกเลนครึ่งดี ถ้าจะสวนกันรถทั้ง2คันต้องลงไหล่ทางกันคนละครึ่งละครับ ต้องใช้คนขับที่คล่องตัวนิดนึง

ไม่มีคนเลยครับ ไม่มีใครเที่ยวน้ำตกสันติสุขกันเลย เสร็จเรา...อยู่กันนานเลยครับทีนี้เลยได้มาหลายรูปหลายมุมหน่อยนะครับ

น้ำตกสันติสุข

น้ำตกสันติสุข

น้ำตกสันติสุข

ถ่ายรูปกับจุดที่สวยที่สุดซะหน่อย

น้ำตกสันติสุข

น่าจะสวยสุดแล้วจุดนี้
จุดที่สวยสุดของน้ำตกนี้น่าจะเป็นภาพด้านบนนี่แหละครับ เราเดินลึกเข้าไปก็เจอน้ำตลอดทางแต่ไม่เจอน้ำตกสูงเท่านี้ พอสมควรแก่เวลา ก็เดินทางออกจากน้ำตกมุ่งหน้าสู่ตัวเมือง


เดินลึกเข้าไปอีกหน่อยได้ภาพนี้

เจ้านี่ชื่อโลมาพาเราเข้ามาครับ

สถานที่เที่ยวทั้งหมด

1 วัน 2 วัน 1 คืน 3 วัน 2 คืน 5 วัน 4 คืน กระเป๋า เกาะล้าน เกาะสีชัง ขนมจีนบ้านนา เขาค้อ เขาค้อทะเลหมอก เขื่อน จ.กรุงเทพ จ.กาญจนบุรี จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี จ.ชัยภูมิ จ.เชียงใหม่ จ.นครราชสีมา จ.น่าน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.ปราจีนบุรี จ.เพชรบุรี จ.เพชรบูรณ์ จ.สระแก้ว จ.สระบุรี จ.สุโขทัย จ.สุพรรณบุรี จุดสำคัญ ชายหาดชะอำ ชายหาดหัวหิน ซิคาดา ดอย ดอยวาว ดอยเสมอดาว ดอยหลวงเชียงดาว ตลาดโต้รุ่ง ตลาดโบราณนครเนื่องเขต ตัวเมือง ตัวเมืองน่าน ตารางเวลา ทะเล ที่พัก น้ำตก น้ำตกเกริงกะเวีย น้ำตกจ๊อกกะดิ่ง น้ำตกตะเพินคี่น้อย น้ำตกตะเพินคี่ใหญ่ น้ำตกไทรโยคน้อย น้ำตกผาตาด น้ำตกลำเกลียว น้ำตกสันติสุข น้ำตกเอราวัณ บ้านเพลินดารา บ้านริมคลอง ปราสาทหินพิมาย พระตำหนักเขาค้อ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน พัทยากลาง พุทธมณฑล ภูทับเบิก มีนบุรี ยอดเขาเทวดา ร้านอาหาร วัด วัดชนะสงคราม วัดพระธาตุเขาน้อย วัดพระพายหลวง วัดพระพุทธบาท วัดภูมินทร์ วัดศรีชุม วัดสระศรี วัดหลวงพ่อโสธร สนามยิงปืนนเรศวร สะพานข้ามแม่น้ำแคว สังขละบุรี หัวหิน หาดถ้ำพัง อช.ทองผาภูมิ อช.ไทรทอง อช.ปางสีดา อช.พุเตย อนันตาริเวอร์ฮิลล์รีสอร์ท อุทยานประวัติศาสตร์ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานแห่งชาติ Asiatique